บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความจริงของไอน์สไตน์

ความจริงของไอน์สไตน์หรือความจริงของฟิสิกส์ใหม่จะสอดคล้องกับความจริงของศาสนาพุทธเถรวาทดั้งเดิม  ซึ่งในบทความนี้ผมจะใช้องค์ความรู้ของวิชชาธรรมกายมาเป็นตัวแทนของศาสนาพุทธเถรวาทดั้งเดิม

ที่ผมกล่าวว่า ความจริงของฟิสิกส์ใหม่กับความจริงของวิชชาธรรมกายสอดคล้องกัน ก็เพราะว่า ขัดกับสามัญสำนึก (common sense)  ของคนในยุคที่ผ่านมา รวมถึงยุคนี้บางส่วนด้วย

ผมจะขอยกตัวอย่างความจริงของฟิสิกส์ใหม่ ดังนี้

1)  แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง  ในจักรวาลนั้น แสงจะไม่เดินทางเป็นเส้นตรง ขึ้นอยู่กับเข้าไปใกล้ดาวฤกษ์หรือดาวเคราะห์ดวงไหน เพราะ มวลของดาวเหล่านั้น จะส่งผลให้แสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง

2)  สสารมืด  ปัจจุบันนี้ นักฟิสิกส์ยอมรับว่า มีสสารมืดอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มองไม่เห็น จะรู้ว่ามีสสารมืดก็ต้องไปชั่งน้ำหนักมัน   ผมเล่าเรื่องสสารมืดให้เพื่อนฟัง  เพื่อนมันถามคำถามซึ่งผมก็ตอบไม่ได้ว่า "แล้วนักวิทยาศาสตร์จะเอากิโลที่ไหนไปชั่ง"

โดยสรุปเรื่องสสารมืดนี้ นักฟิสิกส์ใหม่ยอมรับว่า เราสามารถมองเห็นหรือสัมผัสสสารได้เพียง 5 % เท่านั้น  อีก 95 %  เรามองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้  แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีอยู่จริง

3)  เวลาของทุกคนไม่เท่ากัน  ขึ้นอยู่กับสถานที่และความเร็ว  พูดง่ายๆ ว่า ถ้าใครเดินทางด้วยความเร็วมากๆ ก็จะแก่ช้ากว่า  หรืออยู่บนยานอวกาศมากๆ ก็จะแก่ช้ากว่า  แต่เนื่องจากคนในโลกเคลื่อนที่กัน ช้ามากๆ  เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วแสง 

ดังนั้น เวลาที่แตกต่างกัน (นาฬิกา) จึงมองไม่เห็นชัดนัก  แต่ถ้าเป็นนาฬิกาชีวภาพ เช่น ร่างกายของมนุษย์ เป็นต้น  จะเห็นความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน  โดยจะเห็นว่า คนบางคนอายุเท่ากัน แต่หน้าตาของบางคนดูอายุน้อยกว่า เป็นต้น

เรื่องเวลานี้ ผมชอบมากที่สุด เพราะ สนับสนุน เรื่อง นรกสวรรค์ของศาสนาพุทธ  พระพุทธสอนว่า เวลาของมนุษย์ สวรรค์ นรก พรหม อรูปพรหม ไม่เท่ากัน  โดยเปรียบเทียบเวลาไว้ด้วย ก็แสดงว่า เรื่องเวลาไม่เท่ากันนี้  ศาสนาพุทธรู้มาตั้งนานแล้ว  ทางตะวันตกต้องใช้เวลาเป็นพันๆ ปี ถึงจะรู้

เมื่อนำเอาความจริงของนิวตันกับความจริงของไอน์สไตน์มาเปรียบเทียบกัน ผลก็ออกมาดังนี้  นิวตันเห็นว่า ความจริงต้องเป็นสากล และไม่ขึ้นกับตัวผู้ศึกษา ใครจะมาศึกษาก็ต้องได้ผลเหมือนกัน 

แต่ไอน์สไตน์กลับเสนอว่า ความจริงต้องขึ้นกับตัวผู้ศึกษาหรือผู้สังเกตการณ์ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า จรวดลำไหนจะเร็วจะช้ากว่ากันเท่าไหร่

พูดให้เข้าใจง่ายเข้าก็คือ ความจริงของไอน์สไตน์นั้นมีหลายชุด  คือ ข้อเท็จจริงเหตุการณ์เดียวกันนั้น  ถ้าผู้สังเกตการณ์อยู่คนละกรอบอ้างอิงก็จะเห็นว่า เหตุการณ์นั้นแตกต่างกัน

ยกตัวอย่าง

สมมุติว่า มีเรือใบ 2 ลำที่มีใบที่สูงมากๆ  ด้วย  แล่นคู่ขนานกันไป  และมีนายสมานสมัครนั่งอยู่บนฝั่งกำลังดูเรือใบทั้ง 2 ลำดังกล่าว

ที่นี้ สมมุติว่า เรือลำที่อยู่ใกล้ฝั่ง คือ อยู่กลางระหว่างนายสมานสมัคร มีกลาสีคนหนึ่งปีนขึ้นไปบนกระโดงเรือ และทิ้งลูกเทนนิสลงมาให้เพื่อนกลาสีอีกคนหนึ่งที่อยู่ข้างล่าง

เหตุการณ์เดียวกันเหตุการณ์นี้  นายสมานสมัครกับกลาสีทั้งหลายบนเรือจะเห็นเหตุการณ์ต่างๆ กันไป

1) คนโยนลูกเทนนิสกับคนรับลูกเทนนิส จะเห็นว่า ลูกเทนนิสร่วงลงมาตรงๆ  เหมือนกับเรานั่งรถเมล์ไป แล้วโยนเหรียญเล่น  เหรียญก็จะตกใส่มือเรา  ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว เหรียญน่าจะตกไปข้างหลังมากกว่า เพราะ รถกำลังแล่นอยู่

บางคนอาจจะเถียงว่า เพราะ รถวิ่งช้า เหรียญถึงตกลงบนมือ  ในกรณีนี้ ทฤษฎีไอน์สไตน์ยืนยันว่า ต่อให้นั่งอยู่บนจรวดด้วยความเร็วใกล้ๆ ความเร็วแสง  เหรียญก็จะตกลงในมือเช่นเดิม

2) นายสมานสมัครจะเห็นว่า ลูกเทนนิสล่วงลงมาเป็นเส้นโค้ง  เพราะ จุดที่ปล่อยลูกเทนนิสกับจุดที่ลูกเทนนิสตกถึงมือกลาสีคนที่อยู่ข้างล่างนั้น คนละจุดกัน

3) สำหรับคนบนเรืออีกลำหนึ่ง  ถ้าแล่นด้วยความเร็วที่เท่ากัน ก็จะเห็นลูกเทนนิสตกลงมาตรงๆ  แต่ถ้าใช้ความเร็วแตกต่างกันออกไป  ก็จะเห็นเหตุการณ์แตกต่างกันไป

ถ้าเปรียบเทียบกับงานวิจัย   งานวิจัยในปัจจุบันนี้ มักจะตามทฤษฎีความรู้/ญาณวิทยาที่เรียกว่า ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) คือ ในการศึกษาสิ่งใดต้องศึกษาสิ่งนั้นด้วยความเป็นสิ่งนั้น   ไม่เอาวิทยาศาสตร์เก่ามาเป็นตัวตัดสิน

ทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับตัวผู้ศึกษามากขึ้น  ที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นก็คือ ทฤษฎีฐานราก (Grounded theory) ซึ่งจะใช้การสังเกตกับการสัมภาษณ์เป็นเครื่องมือหลัก

โดยสรุป
ความจริงของไอน์สไตน์โค่นล้มความจริงของนิวตันลงไปได้  แต่ไม่ได้หมายความว่า  ความจริงสากลนั้นไม่มีแล้ว  ความจริงสากลนั้นมีอยู่แน่ๆ  ถูกต้องทั้งนิวตันและไอน์สไตน์  แต่ตอนที่เข้าไปสังเกตการณ์  ถ้าอยู่คนละกรอบอ้างอิง ก็จะรับรู้เหตุการณ์นั้นแตกต่างกันออกไป

ในกรณีที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่า ความจริงของนิวตันเป็นความไม่จริงหรือโกหก  ความจริงของนิวตันก็ยังคงเป็นความจริงอยู่ แต่แคบกว่าความจริงของไอน์สไตน์

สิ่งที่สาวกของวิทยาศาสตร์เก่าหรือสาวกของนิวตันควรเข้าใจก็คือ วิทยาศาสตร์เก่าไม่ใช่ความจริงแท้ หรือความจริงที่ดีกว่าองค์ความรู้อื่น 

ดังนั้น  อย่าเอาหลักการหรือองค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าไปตัดสินองค์ความรู้อื่นๆ ว่า ไม่จริง  เหมือนที่พุทธวิชาการของไทยได้กระทำมาตลอด 150 ปีที่ผ่านมา

ผลของการกระทำดังกล่าวนั้น จึงทำให้คนไทยที่ได้เรียนในระบบโรงเรียน และที่ได้ร่ำเรียนหนังสือสูงๆ กลายเป็นคนไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ  ส่งผลให้นักการเมือง ข้าราชการ หลอกลวงประชาชน โกงกินประเทศชาติอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้
.....................................................




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น