บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ความจริงของนิวตัน

ในทางศาสตร์หรือองค์ความรู้ของทางตะวันตกนั้น มีปรัชญาเป็นต้นตอทั้งสิ้น  วิทยาศาสตร์เก่าของนิวตันก็เช่นกัน  องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันเชื่อถือตามกลุ่มสสารนิยม  ปฏิเสธแนวคิดของจิตนิยมโดยสิ้นเชิง 

ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกของนิวตันจึงเป็นไปตามแนวคิดของสสารนิยม

ความจริงของนิวตัน

เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเชื่อถือตามกลุ่มสสารนิยม  ความจริงของนิวตันจึงต้องสัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เท่านั้น

และความจริงเหล่านั้น จะไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือสาวกของนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ความจริงของวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกเหมือนจะล่องลอยอยู่  ใครก็สามารถจะไปศึกษาความจริงเหล่านั้นได้

ความจริงของนิวตันจึงเป็นความจริงที่ตายตัวแน่นอน ไม่ว่าใครจะมาศึกษาก็ต้องได้ผลของการศึกษาเหมือนกัน 

วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) จึงเป็นวิธีการเดียวที่ยอมรับได้  การศึกษาหาความรู้ใดๆ ก็ตาม  ถ้าเอาความคิดของตัวผู้ศึกษาเข้าไปปะปน   นักวิชาการที่อยู่ในยุคสมัยใหม่ (modern age) ก็จะโจมตีการศึกษาครั้งนั้นๆ ว่ามีความลำเอียง (bias)  ผลการศึกษาจึงไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง

ถ้าเปรียบเทียบกับงานวิจัย   งานวิจัยที่เชื่อวิทยาศาสตร์สุดๆ ก็คือ งานวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งต้องมีหลักการละเอียดยิบเพื่อป้องกันความลำเอียง (bias) ของงานวิจัย เพื่อที่จะหาตัวเลขชุดหนึ่งมาเป็นผลของการศึกษา

ความจริงของนิวตันกับความจริงศาสนา

เมื่อวิทยาศาสตร์เก่าได้รับความนิยมสูงสุด คือ องค์ความรู้ของวิทยาศาสตร์เก่าจึงทำตัวเหมือนผู้พิพากษาความจริง  ถ้าองค์ความรู้ใดๆ ไม่ใช้วิธีการศึกษาที่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ก็จะได้รับการตราหน้าว่า "ไม่จริง" ทั้งหมด [2]

ดังนั้น เมื่อวิทยาศาสตร์เก่ารุ่งโรจน์  องค์ความรู้อื่นๆ เช่น หมอดู หรือหมอกลางบ้าน เป็นต้น จึงแทบจะหมดทางหากิน

ศาสนาทั้งหลายก็โดนหางเลขไปด้วย  นักวิชาการทางศาสนาเป็นจำนวนมาก ต้องตีความเนื้อหาของศาสนาของตนเองใหม่ ให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์เก่า ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ ศาสนาพุทธ หรือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เป็นต้น

เฉพาะสถานการณ์ในเมืองไทย  พุทธวิชาการจึงตีความพระไตรปิฎกใหม่หมด  นรกสวรรค์ถูกทำให้เป็นความไม่จริง  พระพุทธเจ้าทรงคิดขึ้นมาเพื่อต้องการให้คนทำความดี

จริงๆ แล้วไม่มี

ผู้ที่เชื่อว่านรกสวรรค์มีจริงๆ  มักถูกแย้งด้วยคำถามเช่นนี้เสมอว่า ทำไมสวรรค์ของคริสต์ศาสนากับพุทธศาสนาจึงไม่เหมือนกัน   หรือบางทีเกจิอาจารย์ 2 ท่าน บรรยายสวรรค์ไม่เหมือนกัน  ก็จะถูกโจมตีว่า ทำไมสวรรค์จึงไม่เหมือนกัน

คำถามต่างๆ เหล่านั้นก็จะมาจากสาวกของวิทยาศาสตร์แบบกลไกเพราะเชื่อว่า ความจริงต้องมีแบบเดียวกัน เหมือนกันนี่แหละ

สำหรับคำตอบเรื่องสวรรค์เท่าที่ผมได้ยินก็จะเป็นทำนองว่า สวรรค์นั้นใหญ่มาก  คนที่ปฏิบัติธรรมไปถึงสวรรค์ได้ อาจจะไปถึงคนละแห่ง คนละที่จึงเห็นไม่เหมือนกัน

บางคนก็จะเปรียบเทียบว่า สมมุติว่า คนต่างจังหวัดเข้ามาในกรุงเทพฯ  คนหนึ่งไปที่สลัมคลองเตย   อีกคนหนึ่งไปที่สีลม  คนทั้ง 2 คนก็ย่อมจะบรรยายกรุงเทพฯ แตกต่างกันออกไป

จะเห็นว่า ทั้งคำตอบและคำถามได้รับอิทธิพลจากวิทยาศาสตร์เก่าของนิวตันทั้งสิ้น เพราะ เชื่อว่า ความจริงต้องเหมือนกัน  ถ้าสวรรค์มีจริงๆ  ไม่ว่าสวรรค์ของศาสนาไหนก็ต้องเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ดี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นกฎที่ใหญ่กว่าความจริงของนิวตัน  เพราะ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ได้โค่นล้มไปจนหมดสิ้น ให้เหลือเป็นความจริงแคบๆ เฉพาะที่เท่านั้น  ไม่เป็นสากลดังที่เคยเชื่อๆ กัน

-------------------------------------------
เชิงอรรถ
[2] มีศัพท์ตั้งชื่อลักษณะเช่นนี้ว่า Exclusive ซึ่งมีที่มาจากศาสนาคริสต์ ซึ่งเชื่อว่า ความรู้ของตนถูกต้องแต่เพียงอย่างเดียวของคนอื่นผิดหมด

ในทางศาสนาคริตส์ คนที่นับถือพระเจ้าเท่านั้นจะขึ้นสวรรค์ได้  คนในศาสนาอื่นๆ ตกนรกหมด

ในทางพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน เพราะเชื่อว่า คนในศาสนาพุทธเท่านั้นที่จะมีโอกาสไปนิพพานได้  ศาสนาอื่นๆ ทำไม่ได้





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น